วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

การประกันราคาขั้นสูงคืออะไรและทำเพื่อใคร

การประกันราคาขั้นสูงคืออะไรและทำเพื่อใคร

การกำหนดราคาขั้นสูง(Price Ceiling)

            - รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงการทำงานของกลไกราคาในตลาดที่มีการแข่งขัน   จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น  เพราะมองว่าราคาสินค้าในตลาดสูงเกินไป  จะทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน

            - รัฐบาลจะกำหนดราคาซื้อขายสินค้าไว้ต่ำกว่าราคาดุลยภาพเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค         

            คำถาม: รัฐบาลจะทำอย่างไร ???      

            1. เข้าแทรกแซง  โดยการกำหนดราคาขั้นสูง  

               -  กรณีนี้จะเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน (Excess  Demand)  ตามทฤษฎี  จริงมั้ยครับ  เพราะถ้ารัฐบาลประกันราคาต่ำกว่าราคาดุลยภาพ  ของถูกผู้ซื้อชอบ  แต่ผู้ขายไม่ชอบ   จึงเกิดสินค้าขาดแคลนขึ้น

               -  จึงเกิดปัญหาตลาดมืด(Black  Market)  มีการลักลอบขายสูงกว่าราคาประกันขั้นสูง

           2. ถ้ารัฐบาลต้องการตรึงราคาไว้ที่ ราคาประกันขั้นสูง

              -   ต้องลดอุปสงค์ต่อสินค้านั้นให้เท่ากับอุปทาน ณ ระดับราคาประกันขั้นสูง  เช่น

              -   นโยบายการปันส่วนสินค้า   (ผู้บริโภคจะซื้อเกินสิทธิที่ให้ไม่ได้)

                  โดยการแจกคูปองแสดงสิทธิในการซื้อสินค้า

              -   การนำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาให้เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค 

นำมาจาก https://www.l3nr.org/posts/56857     

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาและอุปทานต่อราคา

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาและอุปทานต่อราคา

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand)

            ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงความต้องการซื้อสินค้าต่ออัตราการเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่างๆ ที่กำหนดอุปสงค์ เช่น ราคา รายได้ ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ความยืดหยุ่นของอุปสงค์มี 3 ชนิด ดังนี้

1. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand) เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง โดยวัดออกมาในรูปของร้อยละ
        ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Ed) =       % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อ
                                                                                         % การเปลี่ยนแปลงของราคา

2. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Income Elasticity of Demand)

            อุปสงค์ต่อรายได้ หมายถึง จำนวนต่างๆ ของสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการเสนอซื้อ ณ ระดับรายได้ต่างๆ ภายในระยะเวลาหนึ่ง  โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่
            ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Income Elasticity of demand) หมายถึง การวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อรายได้เปลี่ยนแปลง
       ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Ey) =     % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อ
                                                                                         % การเปลี่ยนแปลงของรายได้

3. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Cross - Price Elasticity of Demand)

            อุปสงค์ไขว้ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ พิจารณาต่อสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาหนึ่ง โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Cross - Price Elasticity of Demand) หมายถึง การวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลง
สินค้าที่เกี่ยวข้องกันแบ่งได้ 2 ชนิด ดังนี้
            สินค้าที่ใช้ประกอบกัน (Complementary Goods) เป็นสินค้าที่ในการอุปโภคบริโภคต้องใช้ร่วมกัน ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะไม่สามารถบริโภคได้ เช่น รถยนต์และน้ำมัน เป็นต้น ความสัมพันธ์ของสินค้าที่ต้องใช้ประกอบกันจะมีทิศทางตรงกันข้ามหรือเป็น -
            สินค้าทดแทนกัน (Substitute Goods) เป็นสินค้าที่ในการอุปโภคบริโภค ถ้าหาสินค้าชนิดหนึ่งไม่ได้สามารถใช้สินค้าอีกชนิดหนึ่งทดแทนได้ เช่น เนื้อหมูกับเนื้อไก่ เป็นต้น ความสัมพันธ์ของสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้จะมีทิศทางเดียวกันหรือเป็น +
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Ec) = %การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อสินค้า A        
                                                                           % การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า B

 ความยืดหยุ่นของอุปทาน (Elasticity of Supply)

            ความยืดหยุ่นของอุปทาน (Elasticity of Supply) หมายถึง เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการขายสินค้าต่อเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า ค่าความยืดหยุ่นที่คำนวณได้จะมีเครื่องหมายเป็นบวกเนื่องจากราคาและปริมาณความต้องการขายมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน การคำนวณค่าความยืดหยุ่นของอุปทานทำได้ดังนี้
ความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคา (Es) =  % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการขาย        
                                                                                        % การเปลี่ยนแปลงของราคา

ปัจจัยที่กำหนดค่าความยืดหยุ่นของอุปทาน

            ความยากง่ายและเวลาที่ใช้ในการผลิต สินค้าที่สามารถผลิตได้ง่ายและใช้เวลาในการผลิตสั้นอุปทานของสินค้ามีค่าความยืดหยุ่นสูง
            ปริมาณสินค้าคงคลัง สินค้าที่มีสินค้าคงคลังสำรองมาก อุปทานของสินค้าจะมีความยืดหยุ่นสูง
            ความหายากของปัจจัยการผลิต ถ้าปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้ามีจำนวนจำกัดและหายาก ต้องใช้เวลาในการหาปัจจัยการผลิตนาน อุปทานของสินค้าชนิดนั้นจะมีความยืดหยุ่นต่ำ
            ระยะเวลา ถ้าระยะเวลานานความยืดหยุ่นของอุปทานจะมากเพราะผู้ผลิตสามารถเปลี่ยนแปลงการใช้ปัจจัยการผลิตได้ทุกชนิด แม้แต่เทคโนโลยีและเครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ 


ประโยชน์ของค่าความหยืดหยุ่น

1.              ในการวางนโยบายหรือมาตรการของรัฐ เช่น การจัดเก็บภาษีจากสินค้า รัฐจะต้องรู้ว่าสินค้านั้นมีความหยืดหยุ่นเท่าไร เพื่อจะได้ทราบว่าภาระภาษีจะตกไปบุคคลกลุ่มใด
2.              ช่วยให้หน่วยุรกิจสามารถดำเนินกลยุทธทางด้านราคาได้อย่างถูกต้องว่าสินค้าชนิดใดควรตั้งราคาสินค้าไว้สูงหรือต่ำเพียงใด  ควรเพิ่มหรือลดราคาสินค้า จึงจะทำให้รายได้รวมกำไรของธุรกิจจะเพิ่มขึ้น
3.              นำมาใช้ประกอบการพยากรณ์แนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
นำมาจาก msci.chandra.ac.th/econ/ch3elastic.doc

การประกันราคาขั้นต่ำคืออะไรและทำเพื่อใคร

    การประกันราคาขั้นต่ำคืออะไรและทำเพื่อใคร


  การประกันราคาขั้นต่ำ (Price support) 

 นั่นก็คือ การกำหนดราคาซื้อขายไว้สูงกว่าราคาดุลยภาพ  ทั้งนี้ก็เพื่อยกระดับราคาสินค้าที่ต่ำเกินไปนั่นเอง  ส่วนใหญ่  เป็น สินค้าการเกษตร

 แล้วทำไมต้องประกันราคาขั้นต่ำ หล่ะ??

 ปกติถ้าเราปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดก็จะต้องมีการซื้อ  ขายกันที่จุดดุลยภาพ   ซึ่งรัฐบาลมองว่าราคาดุลยภาพเป็น  ราคาที่ต่ำเกินไป  เรียกได้ว่าพ่อค้าคนกลางมักจะซื้อสินค้า  เกษตรในราคาที่ต่ำ   ทำให้รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงครับ  โดยกำหนดราคาขั้นต่ำสูงกว่าราคาดุลยภาพนั่นเอง

  โดยรัฐบาลจะตั้งราคาประกันขั้นต่ำและต้องมีการซื้อขายกัน  ที่ราคานี้  ไม่อย่างนั้นจะผิดกฎหมาย   คราวนี้ลองคิดดูนะ  ครับ  ว่าถ้าเราเป็นผู้ซื้อแล้วเจอราคาที่สูงกว่าราคา  ดุลยภาพ(ราคา  ที่เรายอมรับได้) คุณจะอยากซื้อหรือ  ไม่ แต่ที่แน่ๆผู้ขายคือเกษตรกรชอบแน่นอน

        คราวนี้จึงเกิดอุปทานส่วนเกินขึ้นคือปริมาณความ  ต้องการขายมากกว่าปริมาณความต้องการซื้อ     สินค้า  เกษตรก็จะเหลือใช่มั้ยครับ

นำมาจาก https://www.l3nr.org/posts/56835